Share

ระบบเกลือทำงานอย่างไร

Last updated: 6 May 2025
140 Views

ระบบเกลือทำงานอย่างไร  Salt Chlorinator

  


  เป็นระบบที่นิยมมากที่สุดในปัจจุบัน ทีมาพร้อมข้อดีหลายอย่างแต่มีน้อยคนที่จะเข้าใจความหมายและหลักการทำงานที่แท้จริง

ความหมายของระบบเกลือ
               ระบบฆ่าเชื้อโรคด้วยระบบเกลือเป็นระบบที่สร้างคลอรีนจากเกลือ โดยการผ่านกระแสไฟฟ้าลงไปในสารละลายเกลือที่เรียกว่า “Electrolysis” โดยการผ่านกระแสไฟฟ้าจากขั้วหนึ่งไปยังอีกขั้วหนึ่ง เพื่อที่จะสลายพันธะของเกลือและทำการสร้างคลอรีน (โซเดียมไฮโปรคลอไรด์) เพื่อใช้ในการฆ่าเชื้อโรคในสระว่ายน้ำ ระบบเกลือนี้เป็นระบบการฆ่าเชื้อโรคที่ปลอดภัยต่อผู้ที่มาใช้สระว่ายน้ำมากกว่าคลอรีน 90% โดยการเติมเกลือลงในสระว่ายน้ำโดยตรงตอนที่ปิดสระ และมีข้อดีมากกว่าการใช้คลอรีนหลายอย่างดังจะกล่าวรายละเอียดต่อไป

 

 ระบบเกลือมีขั้นตอนการทำงานอย่างไร

ระบบเกลือนั้นมีขั้นตอนอยู่ 3 ขั้นตอนดังต่อไปนี้

1.ขั้นตอนการเติมเกลือ (Salt Addition) 
  เมื่อใส่เกลือในสระว่ายน้ำ ซึ่งอาจจะใส่ในสระโดยตรงหรือใส่ในถังน้ำสำรอง (Surge Tank) แล้วโมเลกุลของน้ำเกลือก็จะแตกตัวกลายเป็นไออนของโซเดียม(Na+) และคลอรีน(Cl-) และละลายอยู่ในโมเลกุลของน้ำ ตามสมการที่ 1

  NaCl   +   H2O   →   Na+   +   Cl-   +   H2  ........   (1)

 


2.ขั้นตอนผลิตคลอรีน(Chlorine Production) 

   หลังจากที่ไอออนของโซเดียม(Na+)และคลอรีน(Cl-)แตกตัวในน้ำมากพอ(ประมาณ 2,500-4,000 PPM) ไอออนทั้งสองก็จะทำปฏิกิริยากับโมเลกุลของน้ำ โดยจะมีการปล่อยกระแสไฟฟ้าผ่านเซลล์ของระบบเกลือ (Salt Chlorinator Cell) ที่เรียกว่า “Electrolysis”เพื่อเป็นการเร่งปฏิกิริยาทำให้เกิดเป็นก๊าซคลอรีน(Cl2) ก๊าซไฮโดรเจน(H2)และโซเดียมไฮดรอกไซด์(NaOH)ดังสมการที่ 2

NaCl + H2O → Cl2 + H2  + 2NaOH  ........ (2)

 


ต่อจากนั้น ก๊าซคลอรีน (Cl2) ก็จะทำปฏิกิริยากับโซเดียม  ไฮดรอกไซด์(NaOH) เกิดเป็นสารประกอบคลอรีนที่มีชื่อว่า “โซเดียมไฮโปรคลอไรต์(NaOCI)”  ซึ่งเป็นสารฆ่าเชื้อโรคชนิดหนึ่งมีค่า pH ประมาณ 11 และมีส่วนประกอบคลอรีน ประมาณ 10-12 % รวมทั้งเกิดกลายเป็นเกลือเหมือนเดิม ตามสมการที่ 3

Cl2  +  2NaOH   →  NaOCl   +   NaCl   +  H2… (3)


จากสมการพบว่า เมื่อเกิดเป็นโซเดียมไฮโปรคลอไรต์ (NaOCl) แล้วจะมีเกลือเกิดขึ้น ซึ่งไม่เป็นพิษเหมือนการใช้คลอรีน

3. ขั้นตอนการฆ่าเชื้อโรค (Disinfection)
     เมื่อได้สารประกอบคลอรีนชนิดนี้แล้ว มันก็ทำการฆ่าเชื้อโรค ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพวกสารอินทรีย์ที่มีธาตุคาร์บอนเป็นส่วนประกอบ แล้วก็จะเกิดปฏิกิริยากลายเป็นเกลือ (NaCl) และก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์(CO2)  ดังสมการที่ 4

สารประกอบคาร์บอน +  NaOCl → CO2 + NaCl  …  (4)

 


นอกจากนี้โซเดียมไฮโปรคลอไรต์ยังเกิดปฏิกิริยากับน้ำกลายเป็น

 กรดไฮโปรคลอรัส(HOCl) ซึ่งเป็นสารที่ใช้ฆ่าเชื้อโรคต่างๆ เช่น แบคทีเรีย ไวรัส สาหร่าย เป็นต้น ดังแสดงในสมการที่ 5

NaOCl  +   H2O   →  HOCl   +  NaOH   …..     (5)



Hypochlorous Acid หรือ HOCl คืออะไร?

 Hypochlorous Acid หรือ กรดไฮโปคลอรัส มีชื่อเรียกทางเคมีว่า HOCl นั้น เป็นกรดอ่อน ๆ ชนิดหนึ่งที่ถูกผลิตขึ้นโดยธรรมชาติโดยเซลล์เม็ดเลือดขาวในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิดเพื่อการรักษาและการปกป้องร่างกาย  ซึ่งกรดไฮโปคลอรัส มีคุณสมบัติในการกำจัดเชื้อไวรัส แบคทีเรีย เชื้อรา รวมไปถึงสปอร์ของเชื้อราได้ โดยการเข้าไปทำลายผนังหุ้มเซลล์ของเชื้อโรค เพื่อยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรคเหล่านั้น

เนื่องจากกรดไฮโปคลอรัส (HOCl) เป็นกรดชนิดเดียวกันกับที่อยู่ในระบบภูมิคุ้มกัน ในเม็ดเลือดขาวของร่างกายมนุษย์ จึงปลอดภัย ไม่เป็นอันตรายต่อผิวบอบบาง  หรือดวงตา ไม่ทำให้เกิดอาการแสบ และมีประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อโรคมากกว่าสารฟอกขาวประเภทคลอรีนถึง 80-120 เท่า

กรดไฮโปคลอรัส สามารถพบได้จาก “ น้ำอิเล็กโทรไลต์ “ ซึ่งเป็นน้ำที่ได้จากกระบวนการอิเล็กโทรลิซิส (Electrolysis) ซึ่งมีการคิดค้นครั้งแรกโดยนักฟิสิกส์และนักเคมี นามว่า ไมเคิล ฟาราเดย์ (Michael Faraday) เมื่อปีทศวรรษ 1834 โดยเขาได้คิดค้นหลักการสำคัญของกระบวนการอิเล็กโทรลิซิสตั้งเป็นกฎสองข้อเรียกกันว่า Faraday’s Laws of Electrolysis ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของวิชาไฟฟ้าเคมี (Electrochemistry) มาจนถึงทุกวันนี้

กระบวนการอิเล็กโทรลิซิส (Electrolysis) คืออะไร ?

อิเล็กโทรลิซิส (Electrolysis) คือกระบวนการผ่านกระแสไฟฟ้า ด้วยเครื่องมือที่ใช้แยกสารละลายด้วยไฟฟ้า มีชื่อเรียกว่า เซลล์อิเล็กโทรไลต์ หรือ อิเล็กโทรลิติกเซลล์ ประกอบด้วย ขั้วไฟฟ้า (อิเล็กโทรด Electrode) ภาชนะบรรจุสารละลายอิเล็กโทรไลต์ และเครื่องกำเนิดไฟฟ้ากระแสงตรง (D.C.) เช่น เซลล์ไฟฟ้า หรือ แบตเตอรี่

เมื่อกระแสไฟฟ้าถูกส่งผ่านไปยังสารละลายที่มีคุณสมบัตินำไฟฟ้า คือ น้ำประปา (H2O) ซึ่งประกอบไปด้วยคลอรีนอิสระ (Free Chlorine) และการใส่เกลือบริสุทธิ์ ที่มีส่วนประกอบคือ โซเดียมคลอไรท์ (NaCl) ลงไปในน้ำประปา จนก่อให้เกิดปฏิกิริยาเคมี หรือเรียกว่าการ อ็อกซิเดชั่น (Oxidation) ก็จะได้สารประกอบใหม่ขึ้นมา ได้แก่  Hypochlorous Acid (HOCl), Hypochlorite Ion (OCl-), Sodium Hypochlorite (NaOCl), Hydroxyl Radical (OH), Peroxide (H2O2)


กรดไฮโปคลอรัส (HOCl) และ ไฮโปคลอไรต์ ไอออน (OCl-) แตกต่างกันอย่างไร?

   ไฮโปคลอไรต์ ไอออน (OCl-) มีประจุเป็นลบ ในขณะที่กรดไฮโปคลอรัส (HOCl) ไม่มีประจุไฟฟ้า  กรดไฮโปคลอรัสเคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็ว
และสามารถออกซิไดซ์แบคทีเรียในเวลาเพียงไม่กี่วินาที ในขณะที่
ไฮโปคลอไรต์ไอออนอาจต้องใช้เวลาถึงครึ่งชั่วโมงในการออกซิไดซ์แบคทีเรีย เพราะพื้นผิวของเชื้อโรคมีประจุลบ ซึ่งทำให้เกิดแรงผลักกันกับไฮโปคลอไรต์ไอออนที่มีประจุลบออกจากพื้นผิวของเชื้อโรค ทำให้ไฮโปคลอไรต์ไอออนมีประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อโรคน้อยลง ในขณะที่กรดไฮโปคลอรัสไม่มีประจุไฟฟ้า จึงสามารถซึมผ่านเกราะป้องกันที่อยู่รอบๆ เชื้อโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า


ข้อดีของระบบเกลือ

   1. ไม่ทำให้เกิดการระคายเคืองดวงตา แสบตา เพราะค่าเกลือในสระ มีค่าความเค็มน้อยกว่า ค่าความเค็มของน้ำตา (ค่าความเค็มน้ำตา ประมาณ 8000 ppm) แต่สระระบบเกลือความเค็ม 3000-4000ppm
   2. ไม่ทำให้ผิวหนังแห้ง ผมร่วง ฟันผุ เพราะ pH ของน้ำเป็นด่าง ให้ความชุ่มชื้นของผิวหนัง และไม่กัดเส้นผม
   3. เหมาะสำหรับคนแพ้คลอรีน
   4. กลิ่นไม่แรงเท่าสระระบบคลอรีน
   5.ไม่ทำลายพื้นผิวกระเบื้องยาแนว
   6.ไม่ต้องเติมเคมีบ่อยเหมือนระบบคลอรีน เติมเกลือ 1 ครั้ง ใช้ได้หลายวัน
   7.ฆ่าเชื้อโรคได้ดี เหมือนคลอรีน 90% แต่ปลอดภัยกว่า


ข้อเสียของระบบเกลือ
   1. ราคาค่าอุปกรณ์มีราคาสูง ในการลงทุนครั้งแรก
   2. น้ำมีรสชาติเป็นน้ำกร่อย
   3. ค่า PH เป็นด่าง สูง ต้องต้องควบคุมให้ ได้ค่ามาตรฐานตลอดเวลา เพราะหาก PH เกิน 9 คลอรีนที่ผลิตได้จะอยู่ในรูป Clo- ประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อจะลดลงเป็นอย่างมาก
   4.มีความยุ่งยากในการดูแลเครื่องมากกว่า ระบบคลอรีน



Related Content
⭐ **WATERSTOP for Swimming Pool Construction Selection Guide + Specifications (Winwinpool Standard by Pool Size & Concrete Thickness)**
⭐ How to Choose the Right Waterstop for Swimming Pools Selecting the proper waterstop is essential for preventing leakage through concrete joints in swimming pool structures, including floor-to-wall joints, construction joints, and areas with structural movement such as expansion joints. Choosing the correct size and thickness helps ensure long-term waterproofing performance and extends the overall lifespan of the pool. The selection should always match the thickness of the pool wall or slab. For example, 6-inch waterstops are suitable for 15–20 cm concrete walls, while 8-inch models are recommended for 20–25 cm walls. Rib design and thickness are equally important: triple-rib models provide stronger anchorage and are ideal for high-pressure or movement-prone areas, whereas double-rib models suit general construction joints. Winwinpool classifies its waterstops into six types—Type A, AA, B, BB, C, and CC—allowing engineers, contractors, and homeowners to select the most appropriate model according to structural requirements and pool design standards.
Why Every Swimming Pool Needs 90% Chlorine?
Chlorine 90% is an essential primary sanitizer for every swimming pool, regardless of whether it uses a salt system, mineral system, ionizer, ozone, UV, or other health-oriented treatment systems. These systems function as secondary sanitizers and cannot kill bacteria as rapidly as chlorine. If the water becomes cloudy, develops an odor, or experiences heavy usage, chlorine should be added immediately to restore water quality. Maintain a minimum chlorine level of 0.5 ppm to protect swimmers from newly introduced contaminants. Keeping chlorine in stock ensures your pool remains safe at all times. Store chlorine in a dry area, tightly sealed, and away from moisture. If you need guidance on dosage or product selection, feel free to ask anytime.
Why You Should Never Use Exposed Aggregate (Washed Sand Finish) Inside a Swimming Pool
Why You Should Never Use Exposed Aggregate (Washed Sand Finish) Inside a Swimming Pool Using exposed aggregate or washed sand finish inside the pool is strongly discouraged because chlorine and pool chemicals gradually erode the surface, causing sand particles to loosen and detach. These particles are then carried by the water flow into the filtration system, where they often get stuck in the pump impeller, leading to wear, reduced performance, and costly pump damage. Additionally, exposed aggregate surfaces retain algae, are difficult to clean, and the rough texture may cause scratches or abrasions to swimmers. As the surface deteriorates, loose particles make the pool water cloudy and increase the frequency of maintenance, driving up long-term operating costs. ✅ Recommendation
icon-messenger
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Privacy Policy and Cookies Policy
Compare product
0/4
Remove all
Compare